วันพุธ, 4 ธันวาคม 2567

สมาคมเมล็ดพันธุ์พืชภาคพื้นเอเชียและแปซิฟิค จับมือสมาคมการค้าเมล็ดพันธุ์ไทย กระตุ้นเศรษฐกิจส่งออกเมล็ดพันธุ์ผักและเมล็ดพันธุ์ข้าวโพด

Social Share

วันที่ 20 ม.ค. 65 สมาคมเมล็ดพันธุ์พืชภาคพื้นเอเชียและแปซิฟิค (APSA= แอปซ่า) และสมาคมการค้าเมล็ดพันธุ์ไทย (THASTA=ทาสต้า) ได้มีการร่วมลงนามบันทึกข้อตกลง หรือ MOU เพื่อประกาศความร่วมมือในการเป็นประเทศเจ้าภาพจัดงานประชุมเมล็ดพันธุ์พืชแห่งเอเชียและแปซิฟิค ประจำปี พ.ศ. 2565 และเพื่อเป็นการเตรียมต้อนรับภาคธุรกิจเมล็ดพันธุ์จากทั่วทุกมุมโลกที่มีฐานสมาชิกขององค์กรกว่า 500 สมาชิก ครอบคลุม 54 ประเทศ ซึ่งจัดขึ้นที่ประเทศไทย โดยมี กรมวิชาการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ หรือ สวทช.ร่วมเป็นสักขีพยานในพิธีลงนามในครั้งนี้ด้วย

ทางด้าน ดร. บุญญานาถ นาถวงษ์ นายกสมาคมการค้าเมล็ดพันธุ์ไทย กล่าวกว่านับเป็นก้าวแรกสู่การเตรียมงานที่ยิ่งใหญ่ในครั้งนี้ ซึ่งการประชุมธุรกิจเมล็ดพันธุ์นี้ถือเป็นการจัดประชุมครั้งที่ 7 ในประเทศไทยซึ่งถือเป็น “บ้าน” ที่ก่อกำเนิดการประชุมธุรกิจเมล็ดพันธุ์ของสมาคมเมล็ดพันธุ์พืชภาคพื้นเอเชียและแปซิฟิค

โดยการประชุมนี้จัดขึ้นเฉพาะสมาชิกของสมาคมสมาคมเมล็ดพันธุ์พืชภาคพื้นเอเชียและแปซิฟิค ในงานประกอบด้วยกิจกรรม การจัดงานแสดงสินค้า การเจรจาการค้าเมล็ดพันธุ์ ในรูปแบบของการตั้งโต๊ะเจรจาการค้าในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิค การพบปะเพื่อรับทราบถึงความก้าวหน้าทางด้านเทคโนโลยี กฎหมายที่เกี่ยวของกับการค้าเมล็ดพันธุ์ รวมถึงโอกาสทางธุรกิจเมล็ดพันธุ์ทั่วโลก และการประชุมสามัญประจำปีของ APSA ซึ่งจะมีการจัดงานที่ประเทศไทยในช่วงระหว่างวันที่ 14- 18 พฤศจิกายน 2565 นี้

โดยที่ผ่านมาประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศผู้นำการส่งออกเมล็ดพันธุ์ระดับภูมิภาค ในปี พ.ศ. 2557 กรมวิชาการเกษตร สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) และสมาคมการค้าเมล็ดพันธุ์ไทย (THASTA) ได้ร่วมกันดำเนินงานภายใต้นโยบายศูนย์กลางเมล็ดพันธุ์ (Seed Hub Policy) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเสริมสร้างศักยภาพและผลักดันให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางด้านการปรับปรุงพันธุ์พืช การผลิตและการค้าเมล็ดพันธุ์ในระดับภูมิภาค

ทางด้าน คุณวิชัย เหล่าเจริญพรกุล ประธานสมาคมเมล็ดพันธ์พืชภาคพื้นเอเชียแฟซิฟิค กล่าวเพิ่มเติมว่า จากข้อมูลพบว่าในปี พ.ศ. 2562 ประเทศไทยสามารถบรรลุเป้าการส่งออกเมล็ดพันธุ์ผักและเมล็ดพันธุ์ข้าวโพดโดยรวมเป็นมูลค่า 236 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ ในปีถัดมา แม้ประเทศไทยจะได้รับผลการทบจากปัจจัยความแห้งแล้งและผลกระทบจาก โควิด-19 ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อการเกษตรและห่วงโซ่โดยรวมของภาคอุตสากรรมเมล็ดพันธุ์ ประเทศไทยก็ยังสามารถส่งออกเมล็ดพันธุ์ได้เพิ่มขึ้นเป็นมูลค่า 239 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ ซึ่งตัวเลขที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องนี้สามารถยืนยันได้ถึงความแข็งแกร่งและการปรับตัวที่ดีของภาคอุตสาหกรรมเมล็ดพันธุ์ต่อความท้าทายอันหลากหลายที่เกิดขึ้น