วันเสาร์, 23 พฤศจิกายน 2567

(คลิป) รองผู้ว่าฯ เชียงใหม่ โชว์เตาเผาคาร์บอน แก้หมอกควันเปลี่ยนใบไม้ให้เป็นเงินลดการเผาป่า เน้น 1 ตำบล 1 อำเภอต้นแบบ

Social Share

รอง ผวจ.เชียงใหม่ โชว์เตาเผาคาร์บอน แก้หมอกควันเปลี่ยนใบไม้ให้เป็นเงิน มุ่งเน้น 1 ตำบล 1 อำเภอต้นแบบ พร้อมเน้นย้ำสิ้นสุดประกาศห้ามเผา ให้ทุกอำเภอจัดการเชื้อเพลิงพื้นที่เกษตรด้วยวิธีที่เหมาะสมเลือกเผาให้น้อยที่สุด ขณะที่ 5 อำเภอรอบตัวเมืองเชียงใหม่ ยืนยันไม่มีเผาพื้นที่เกษตรอย่างเด็ดขาด

22 เมษายน 2563 : นายคมสัน สุวรรณอัมพา รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ เป็นประธานการประชุมร่วมกับคณะทำงานศูนย์บัญชาการป้องกันและแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 จังหวัดเชียงใหม่ เพื่อติดตามสถานการณ์ไฟป่าและหมอกควันในแต่ละพื้นที่ โดยได้ประชุมผ่านระบบ VDO Conference กับอำเภอที่มีจุดความร้อนมากที่สุดในเช้าวันนี้ จำนวน 5 อำเภอ ได้แก่ อำเภอแม่แจ่ม อำเภอเชียงดาว อำเภอแม่แตง อำเภอแม่อาย และอำเภออมก๋อย เพื่อทราบถึงสาเหตุการเกิดจุดความร้อนที่เกิดขึ้น และเดินหน้าแก้ไขปัญหาไฟป่าในแต่ละพื้นที่อย่างต่อเนื่อง ซึ่งจากการรายงานเช้าวันนี้เกิดจุดความร้อนจำนวน 20 จุด อยู่ในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ 16 จุด ป่าอนุรักษ์ 2 จุด พื้นที่เกษตร 1 จุด และอื่นๆ 1 จุด ในส่วนผลการแจ้งความดำเนินคดีเมื่อวานนี้ จำนวน 13 คดี ในพื้นที่ 6 อำเภอ จับกุมตัวผู้ต้องหา 1 ราย ทราบชื่อ นายจะโฟ ไอ่เสาร์ อายุ 69 ปี อาศัยอยู่ที่ตำบลเวียง อำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่

รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ กล่าวเพิ่มเติมว่า ในวันที 28 เมษายน 2563 ทางจังหวัดเชียงใหม่ จะได้รับการสนับสนุนเตาเผาคาร์บอน ซึ่งเป็นนวัตรกรรมที่จะนำมาช่วยแก้ปัญหาเชื้อเพลิงและการเผาในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ ภายหลังจากการรับมอบ ก็จะส่งต่อให้กับอำเภอต่างๆ ในพื้นที่ โดยเป้าหมายอาจจะให้ทางอำเภอคัดเลือกตัวแทนใน 1 ตำบลของตน เพื่อให้เป็นต้นแบบ 1 ตำบล 1 อำเภอ ที่จะใช้เตาเผาคาร์บอนนี้ เปลี่ยนเศษใบไม้ให้กลายเป็นเงิน

สำหรับเตาผาถ่านคาร์บอน เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 80 เซนติเมตร สูง 65 เซนติเมตร (รวมฐาน) จะแตกต่างกับการเผาทั่วไปที่เผาแล้วจะกลายเป็นเถ้ามอดไปไม่มีประโยชน์ แต่การเผาในลักษณะนี้เมื่อไฟเริ่มดับ ก็ใส่เชื้อเพลิงเข้าไปจนเต็มเรื่อยๆ พอเต็มถังหรือเตาเผาคาร์บอนแล้ว เมื่อพรมน้ำเข้าไปก็จะเป็นถ่าน จากนั้นก็นำมาผสมกับซิลิคอน ในอัตรา 50 : 50 และเตาเผาคาร์บอน เมื่อทำการเผาจะเห็นว่าไฟจะติดเร็วกว่าเตาเผาทั่วไป สิ่งที่จะได้ก็จะนำไปทำเป็นปุ๋ย ลดต้นทุนทางการเกษตร ซึ่งเกษตรกรก็นำไปใช้กับพื้นที่ตนเอง ไม่ต้องซื้อปุ๋ย และไม่ต้องทำการหมัก ไม่ต้องทำการเผาใบไม้ เศษวัชพืชในพื้นที่แบบเปล่าประโยชน์ แล้วป้องกันการเผาที่จะลุกลามไปในพื้นที่ป่า การเกิดจุดฮอตสปอร์ต ความร้อนสะสมที่จะส่งผลกระทบด้านมลพิษในอากาศ และเมื่อทำในปริมาณมากๆ ก็สามารถนำไปขายเปลี่ยนเป็นเงินได้

ต่อไปการเผาในพื้นที่ หรือใบไม้ในป่า อาจจะถูกกลายเปลี่ยนมาเป็นเงิน โดยที่จะลดปริมาณเชื้อเพลิงได้โดยไม่ต้องเผาด้วย ซึ่งขณะนี้ยังถือว่าเป็นช่วงที่จะเริ่มโครงการ แต่ในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ ได้มีที้งหมด 5 อำเภอ นำร่องแล้ว ที่จะนำไปใช้และไม่เผา โดยมี อำเภอเมืองเชียงใหม่, อำเภอสารภี, อำเภอสันกำแพง, อำเภอแม่ออน และอำเภอแม่ริม ขณะเดียวที่อำเภอแม่ออน ทราบว่าจะส่งเสริมให้เกษตรกรไม่เผาและนำมาทำเป็นปุ๋ยทั้งหมด ส่วนที่อำเภอกัลยาณิวัฒนา และอำเภอสะเมิง ที่พบว่ามีปัญหาจากใบสนที่ร่วงหล่นลงมาเป็นจำนวนมาก ซึ่งใบสนเหล่านี้ เมื่อติดไฟจะกลายเป็นเชื้อเพลิงอย่างดีที่ลุกลามเข้าไปในป่า ซึ่งเตาเผาคาร์บอนนี้ก็จะนำมาทดสอบและแก้ไขปัญหาในพื้นที่นี้ได้

เมื่อทุกอำเภอร่วมใจกันอย่างจริงจัง ไม่มีการเผา ก็มั่นใจว่า ปริมาณเชื้อเพลิงในป่า การลักลอบเผาในพื้นที่การเกษตร การเกิดจุดความร้อนก็จะลดลง แต่กลับกลายเป็นการเข้าไปในป่าเพื่อจะเอาใบไม้มาทำเป็นปุ๋ย เปลี่ยนมาเป็นเงินแทนการเผามากกว่า ซึ่งในอนาคตทางจังหวัดเชียงใหม่ก็มุ่งหวังที่จะให้เป็นลักษณะแบบนั้น ส่วนการส่งเสริมหากมีการทำเป็นปุ๋ยออกมาจำนวนมาก และเกษตรกรกังวลว่าจะนำไปจำหน่ายที่ไหน ซึ่งหลังจากนั้นก็คงต้องมาดูเรื่องปริมาณว่ามีเท่าไหร่ในแต่ละพื้นที่ อาจจะมีการจัดตั้งเป็นสหกรณ์ หรือวิสาหกิจชุมชนขึ้นมา เพื่อให้เกิดความยั่งยืนต่อไป

ขณะเดียวกัน ก็ได้เน้นเรื่องการบริหารจัดการเชื้อเพลิงหลังสิ้นสุดช่วงห้ามเผาในวันที่ 30 เมษายน โดยแนวทางของจังหวัดเชียงใหม่จะเน้นให้ทุกอำเภอบริหารจัดการเชื้อเพลิงด้วยวิธีการอื่นมากกว่าการเผา เช่น การทำปุ๋ยหมัก การนำเศษวัสดุทางการเกษตรส่งให้โรงงานอุตสาหกรรมอัดใบไม้เป็นก้อน ซึ่งเป็นวิธีที่สามารถสร้างรายได้อีกทางหนึ่ง โดยกำชับว่าจะให้ใช้วิธีการเผาเป็นลำดับสุดท้าย ซึ่งจากที่ก่อนหน้านี้ได้ในทุกอำเภอส่งแผนการบริหารจัดการเชื้อเพลิงในพื้นที่ของตนเองมาให้จังหวัดพิจารณาวางแผน โดยอำเภอเมือง สารภี สันกำแพง แม่ออน แม่ริม ที่อยู่ใกล้ตัวเมืองเชียงใหม่ ยืนยันว่าจะไม่ให้มีการบริหารจัดการเชื้อเพลิงด้วยการเผาอย่างเด็ดขาด

ในส่วนอำเภออื่น กำลังอยู่ในขั้นตอนการประชุมหาข้อสรุปภายในวันนี้ ว่าจะใช้วิธีการใดบ้างให้มีความชัดเจน ระบุว่าตำบลใดเผาหรือไม่เผา เป็นการสำรวจข้อมูลขั้นสุดท้าย ในส่วนตำบลที่มีความประสงค์ว่าจะไม่เผา ทางจังหวัดจะส่งเจ้าหน้าที่เกษตร ปศุสัตว์ ประมง ตลอดจนเจ้าหน้าที่วิชาการเกษตรต่างๆ เข้าไปสนับสนุนอุปกรณ์และให้ความรู้ รวมทั้งนำกล้าไม้ไปส่งเสริมให้ปลูกป่าให้เกิดความยั่งยืนด้วย

สำหรับ การบริหารจัดการเชื้อเพลิงนั้น มีหลักเกณฑ์อยู่ 8 ข้อ คือ 1.การเผาวัชพืชต้องใช้หลักวิชาการ 2.ต้องผ่านความเห็นชอบจากอำเภอ องค์การปกครองส่วนท้องถิ่น ผู้นำชุมชน เข้าไปกำกับดูแล ซึ่งจะเผาได้ในช่วงเวลา 09.00 – 12.00 น. และ 14.00 – 17.00 น. เท่านั้น พร้อมกำชับว่าต้องมีการจัดเจ้าหน้าที่เข้าไปควบคุมการเผาให้ดับสนิท 100% 3.ต้องทำแนวกันไฟป้องกันการลุกลามไปในเขตป่า 4.พื้นที่ขนาดใหญ่ต้องแบ่งเผาเป็นแปลงเล็กเพื่อไม่ให้ลุกลามและควบคุมไม่ได้ 5.ห้ามเผาในเขตป่าโดยเด็ดขาด ซึ่งในเขตป่าเจ้าหน้าที่ป่าไม้จะเป็นผู้ดำเนินการเอง 6.ต้องมีการระดมกำลังพลมาช่วยกันเผาและจัดรถน้ำมารอระงับเหตุไว้เพื่อให้ทันท่วงที 7.ห้ามลักลอบเผาในพื้นที่นอกเขตที่ได้แจ้งกับภาครัฐไว้โดยเด็ดขาด มิเช่นนั้นจะมีความผิดทางกฎหมายอย่างเฉียบขาด และ 8.ขอให้ระบุหัวหน้าชุดควบคุมการเผา พร้อมทั้งถ่ายภาพก่อนดำเนินการ ระหว่างดำเนินการ และหลังการดำเนินการ เพื่อเป็นหลักฐานยืนยันว่าเผาเสร็จแล้วดับ 100% ซึ่งจะเป็นกระบวนการในการบริหารจัดการเชื้อเพลิงจะทำอย่างรัดกุมที่สุด โดยจะคำนึงถึงการสภาพอากาศ เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชนชาวเชียงใหม่

จังหวัดเชียงใหม่ ได้กำหนดการจัดกิจกรรมการปลูกต้นไม้ทดแทนผืนป่าขึ้นพร้อมกันทั้งจังหวัด ในวันที่ 21 พฤษภาคม 2563 นี้ ซึ่งขณะนี้ได้รับการสนับสนุนกล้าพันธุ์ไม้มงคลจากกรมป่าไม้จำนวนทั้งสิ้น 700,000 ต้น โดยในวันที่ 28 เมษายนนี้ จะมอบให้กับทุกอำเภอเพื่อนำไปเพาะพันธุ์และเตรียมการปลูกพร้อมกันทั้งจังหวัดตามที่ได้กำหนดไว้ และประมาณเดือนมิถุนายน จะได้รับการสนับสนุนเพิ่มอีก 1,000,000 ต้น ทั้งนี้ หากประชาชนที่สนใจสนับสนุนกล้าพันธ์ไม้ อาทิ ลำไย ลิ้นจี่ กาแฟ หรือพืชเศรษฐกิจอื่นๆ เพื่อทางจังหวัดจะได้นำไปแจกจ่ายให้กับทั้ง 25 อำเภอเพื่อที่จะนำไปปลูกเพิ่มเติม สามารถนำมาสนับสนุนได้ที่ศูนย์บัญชาการป้องกันและแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 จังหวัดเชียงใหม่ (อบจ.เชียงใหม่) หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ 053112808